ในบทความนี้จะเป็นเนื้อหาการสร้างเว็บเพจด้วย CSS layout โดยจะมีขั้นตอนดังนี้
1.ออกแบบโครงสร้างหลักๆของหน้าเว็บเพจก่อน ดังรูปด้านล่าง
จากรูปจะเห็นว่าเราได้แบ่งส่วนต่างๆของหน้าเว็บเพจออกเป็น 4 ส่วนคือ
1.1.ส่วนแสดงสัญลักษณ์ของเว็บไซต์ ส่วนนี้เราจะให้แสดงรูปภาพและสัญลักษณ์ของเว็บไซต์
1.2.ส่วนแสดง Navigation ของเว็บไซต์ ส่วนนี้จะแสดงลิงค์ไปยังหน้าต่างของเว็บไซต์
1.3.ส่วนแสดงเนื้อหา จะแสดงเนื้อหาและรูปภาพ
1.4.ส่วนท้ายสุดของหน้า จะแสดงลิงค์ไปยังหน้าหลักๆของเว็บไซต์
การออกแบบโครงสร้างหลักของเว็บเพจนั้นมีความจำเป็นมาก เพราะหน้าเว็บเพจของเรามีค่ามาก การออกแบบตำแหน่งต่างของเว็บเพจไว้ก่อน จะทำให้การใช้พื้นที่ในหน้าเว็บเพจของเรามีประสิทธิภาพมากที่สุด
2.ออกแบบหน้าตาของเว็บเพจ
หลักจากที่เราได้โครงสร้างหลักๆของเว็บเพจแล้ว เราก็จะออกแบบหน้าตาของเว็บเพจกัน โดยใช้โปรแกรมกราฟิกต่างๆ เช่น Photoshop , Firework , Illustrator แล้วแต่ถนัด โดยในตัวอย่างจะออกแบบโดยใช้โปรแกรม Illustrator
หลังจากที่เราออกแบบเว็บเพจเรียบร้อยแล้ว ในบทต่อไปจะเริ่มสร้างเว็บเพจกัน
เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขี้น
คลิกที่นี่เพื่อดูตัวอย่างเว็บเพจที่เสร็จแล้ว
คลิกที่นี่เพื่อดาว์นโหลดตัวอย่างเว็บเพจที่เสร็จแล้ว
ads by google
วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555
การเพิ่ม NAVIGATION BAR
รายชื่อในส่วนบนของหน้า HTML ตั้งใจจะใช้เป็นเมนู navigation เวบไซด์หลายเวบมีการใช้เมนูวางเรียงไว้ด้านบนหรือไว้ด้านข้างของ หน้าและหน้านี้ก็ควรมีเช่นกันซึ่งเราจะวางไว้ด้านซ้ายเนื่องจากดูแล้วน่าแล้วน่าสนใจกว่าวางไว้ด้านบน
เมนูดังกล่าวนี้มีอยู่ในหน้า HTML แล้วโดยใช้ <ul>แสดงรายการไว้ด้านบนลิงค์ยังไม่สามารถใช้ได้เนื่องเวบไซด์ของเราในขณะนี้มี เพียงหน้าเดียวแต่ในขณะนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่แน่นอนว่าสำหรับเวบไซด์จริงๆแล้วไม่ควรจะมีลิงค์ที่ใช้งานไม่ได้
ดังนั้นเราจะต้องย้ายรายชื่อลงมาอยู่ด้านซ้ายและย้ายข้อความที่เหลือทั้งหมดมาทางด้านขวาเล็กน้อยเพื่อให้มีพื้นที่ CSS property ที่เราใช้คือ 'padding-left' (สำหรับย้ายข้อความในส่วน body) และ 'position' 'left' และ 'top' (เพื่อย้ายเมนู)
ยังมีวิธีอื่นๆที่สามารถทำได้หากคุณดูในส่วน “column” หรือ “layout” ในหน้า Learning CSS (เรียนรู้ CSS)คุณจะเจอเทมเพลตที่ใช้ได้เลยหลายอันแต่ อันนี้ก็ใช้ได้เหมาะสมกับจุดประสงค์ของเรา
ในหน้าโปรแกรมแก้ไข ให้เพิ่มบรรทัดต่อไปนี้เขาไปในไฟล์ HTML
<!DOCTYPE html PUBLIC "-//W3C//DTD HTML 4.01//EN"> <html> <head> <title>My first styled page</title> <style type="text/css"> body { padding-left: 11em; font-family: Georgia, "Times New Roman", Times, serif; color: purple; background-color: #d8da3d } ul.navbar { position: absolute; top: 2em; left: 1em; width: 9em } h1 { font-family: Helvetica, Geneva, Arial, SunSans-Regular, sans-serif } </style> </head> <body> [etc.]
หากคุณเซฟไฟล์อีกครั้งและ reload ในบราวเซอร์ทีนี้คุณก็จะได้รายชื่อลิงค์ที่อยู่ทางด้านซ้ายของข้อความหลัก ซึ่งตอนนี้หน้าเวบนี้ก็ ดูน่าสนใจขึ้น
ข้อความหลักย้ายไปอยู่ที่ด้านขวาและตอนนี้รายชื่อลิงค์ย้ายไปอยู่ที่ด้านซ้ายแล้วแทนที่จะอยู่ด้านบน
การใส่ 'position: absolute' เป็นการบอกว่า element ul ถูกวางไว้แยกออกจากข้อความที่มาก่อนหรือหลังภายในเอกสารและการใช้ 'left' และ 'top' ก็เพื่อแสดงให้รู้ว่าอยู่ในตำแหน่งใด ในกรณีนี้ คือ 2em จากด้านบนและ 1em จากด้านซ้ายของหน้าต่าง
'2em' หมายถึง 2 เท่าของขนาดฟอนท์ปัจจุบันเช่น ถ้าเมนูใช้ฟอนท์ขนาด 12 point ดังนั้น '2em' จะเท่ากับ 24 point 'em' เป็นหน่วย การวัดประเภทหนึ่งที่มีประโยชน์ในการใช้ CSS เนื่องจากสามารถนำมาใช้กับฟอนท์ที่ผู่อ่านมักจะใช้ได้โดยอัตโนมัติ บราวเซอร์ส่วนใหญ่ มีเมนูที่ไว้เพิ่มหรือลดขนาดของฟอนท์คุณจะเห็นได้ว่าขนาดของเมนูจะเพิ่มเมื่อขนาดของฟอนท์เพิ่มซึ่งจะไม่เป็นไปตามนั้นหากในกรณี ที่เราใช้หน่วยเป็นพิกเซลแทน
ป้ายกำกับ:
BAR,
CSS,
NAVIGATION
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555
I started something I couldnt finish...: THings I think I think Vol 6
I started something I couldnt finish...: THings I think I think Vol 6: Whats up bizznitches. Its me, Jokey Jokemaker. This week I had these thoughts: 1) Ismael Julio Lopez's attempt to take the blog and put...
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Pseudo-element
เป็น selector กลุ่มที่น่าสนใจที่จัดรูปแบบการแสดงผลโดยขึ้นกับสถานะ หรือเงื่อนไข เช่น เฉพาะอักษรตัวแรกใน <p> เท่านั้นที่เป็นตัวอักษรสีแดงตัวใหญ่ เป็นต้น
The :first-letter Pseudo-element
หรือ จะเขียน Pseudo-element กับ CSS Classes ก็ได้
ถ้าต้องการระบุให้เฉพาะบาง paragraph เท่านั้นที่แสดงผล เขียนได้ดังนี้
The :first-line Pseudo-element
Multiple Pseudo-elements
CSS2 - The :before Pseudo-element
CSS2 - The :after Pseudo-element
selector:pseudo-element {property: value}
selector.class:pseudo-element {property: value}
selector.class:pseudo-element {property: value}
Pseudo-element | Purpose |
---|---|
:first-letter | กำหนด style ให้ตัวอักษรตัวแรกของข้อความ |
:first-line | กำหนด style ให้กับข้อความบรรทัดแรก |
:before | Inserts some content before the content of an element |
:after | Inserts some content after the content of an element |
The :first-letter Pseudo-element
การกำหนดรูปแบบให้กับตัวอักษรตัวแรกของ element
ตัวอย่าง
<html>
<head>
<style type="text/css">
p:first-letter {color:#ff0000;font-size:xx-large}
</style>
</head>
<body>
<p>Enjoyday.net</p>
</body>
</html>
ผลลัพธ์<head>
<style type="text/css">
p:first-letter {color:#ff0000;font-size:xx-large}
</style>
</head>
<body>
<p>Enjoyday.net</p>
</body>
</html>
Enjoyday.net
หรือ จะเขียน Pseudo-element กับ CSS Classes ก็ได้
ถ้าต้องการระบุให้เฉพาะบาง paragraph เท่านั้นที่แสดงผล เขียนได้ดังนี้
p.article:first-letter {color:#ff0000}
<p class="article">Enjoyday.net</p>
<p>Enjoyday.net</p>
ผลลัพธ์<p class="article">Enjoyday.net</p>
<p>Enjoyday.net</p>
Enjoyday.net
Enjoyday.net
Enjoyday.net
The :first-line Pseudo-element
การกำหนดรูปแบบให้กับตัวอักษรบรรทัดแรกของ element
ผลลัพธ์
<html>
<head>
<style type="text/css">
p:first-line {color:#0000ff}</style>
</head>
<body>
<p>Heath<br>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p>
</body>
</html>
ผลลัพธ์<head>
<style type="text/css">
p:first-line {color:#0000ff}</style>
</head>
<body>
<p>Heath<br>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p>
</body>
</html>
Health
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
Multiple Pseudo-elements
เราสามารถนำทั้ง 2 แบบมาเขียนผสมกันได้
ตัวอย่าง
<html>
<head>
<style type="text/css">
p:first-letter {color:#ff0000;font-size:xx-large}
p:first-line {color:#0000ff}</style>
</head>
<body>
<p>Heath<br>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p>
</body>
</html>
<head>
<style type="text/css">
p:first-letter {color:#ff0000;font-size:xx-large}
p:first-line {color:#0000ff}</style>
</head>
<body>
<p>Heath<br>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p>
</body>
</html>
ผลลัพธ์
Health
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
CSS2 - The :before Pseudo-element
สามารถกำหนดเพิ่ม content บางอย่าง ก่อนแสดง content ของ element นั้นๆ *ใช้ไม่ได้กับ web browser IE
ตัวอย่าง
<html>
<head>
<style type="text/css">
h1:before
{
content: url(../images/star_icons.gif)
}
</style>
</head>
<body>
<h1>This is a header</h1>
</body>
</html>
ผลลัพธ์<head>
<style type="text/css">
h1:before
{
content: url(../images/star_icons.gif)
}
</style>
</head>
<body>
<h1>This is a header</h1>
</body>
</html>
This is a header
CSS2 - The :after Pseudo-element
สามารถกำหนดเพิ่ม content บางอย่าง หลังจากแสดง content ของ element นั้นๆ *ใช้ไม่ได้กับ web browser IE
ตัวอย่าง
<html>
<head>
<style type="text/css">
h1:after
{
content: url(../images/star_icons.gif)
}
</style>
</head>
<body>
<h1>This is a header</h1>
</body>
</html>
ผลลัพธ์<head>
<style type="text/css">
h1:after
{
content: url(../images/star_icons.gif)
}
</style>
</head>
<body>
<h1>This is a header</h1>
</body>
</html>
This is a header
Pseudo-classes
เป็น selector กลุ่มที่น่าสนใจที่จัดรูปแบบการแสดงผลโดยขึ้นกับสถานะ หรือเงื่อนไข เช่น link เมื่อถูกคลิกจะเปลี่ยนสี เป็นต้น
selector:pseudo-class {property: value}
selector.css-class:pseudo-class {property: value}
selector.css-class:pseudo-class {property: value}
Pseudo-class | Purpose |
---|---|
:link | กำหนด style ให้กับ link ปกติที่ยังไม่เคยถูก click |
:visited | กำหนด style ให้กับ link ที่เคยถูกคลิกแล้ว |
:hover | กำหนด style ให้กับ link เมื่อเลื่อนเมาส์ไปอยู่เหนือ link |
:active | กำหนด style ให้กับ link ขณะถูกคลิก |
:focus | กำหนด style ให้กับ element ขณะถูก focus |
:first-child | กำหนด style ให้กับ element ที่เป็น first child ของ element อื่นๆ |
:lang | Allows the author to specify a language to use in a specified element |
Anchor Pseudo-classes
link ที่มีสถานะ active, visited, unvisited, หรือเมื่อนำเมาส์วางบน link เราสามารถกำหนดรูปแบบให้แตกต่างกันได้
ตัวอย่าง
a:link {color: #FF0000} /* unvisited link สีแดง*/
a:visited {color: #00FF00} /* visited link สีเขียว*/
a:hover {color: #FF00FF} /* mouse over link สีชมพู */
a:active {color: #0000FF} /* selected link สีน้ำเงิน*/
<a href="css_chapter24.html">Chapter24</a>
<a href="css_chapter25.html">Chapter25</a>
ผลลัพธ์
หรือ จะเขียน Pseudo-classes กับ CSS Classes ก็ได้ a:visited {color: #00FF00} /* visited link สีเขียว*/
a:hover {color: #FF00FF} /* mouse over link สีชมพู */
a:active {color: #0000FF} /* selected link สีน้ำเงิน*/
<a href="css_chapter24.html">Chapter24</a>
<a href="css_chapter25.html">Chapter25</a>
ถ้าต้องการระบุให้เฉพาะบาง link เท่านั้นที่แสดงผลต่างจะ link อื่น เขียนได้ดังนี้
ตัวอย่าง
a.special:hover {color: #FF0000; background-color:#CCFF99}
/* mouse over link สีแดง พื้นเขียว */
<a class="special" href="css_chapter22.html">Chapter22</a>
<a class="special" href="css_chapter23.html">Chapter23</a>
<a href="css_chapter24.html">Chapter24</a>
<a href="css_chapter25.html">Chapter25</a>
ผลลัพธ์
/* mouse over link สีแดง พื้นเขียว */
<a class="special" href="css_chapter22.html">Chapter22</a>
<a class="special" href="css_chapter23.html">Chapter23</a>
<a href="css_chapter24.html">Chapter24</a>
<a href="css_chapter25.html">Chapter25</a>
CSS2 - The :first-child Pseudo-class
จะจัดรูปแบบการแสดงผลให้กับ element ที่พบอันแรกเท่านั้น สำหรับ web browser IE จะ้ต้องประกาศ <!DOCTYPE> ด้วย
ตัวอย่าง
<!DOCTYPE HTML PUBLIC "-//W3C//DTD HTML 4.01 Transitional//EN" "http://www.w3.org/TR/html4/loose.dtd">
<html>
<head>
<style type="text/css">
p:first-child
{
color:blue
}
</style>
</head>
<body>
<p> วันนี้อากาศแจ่มใส </p>
<p> วันนี้อากาศแจ่มใส </p>
<p><b>Note:</b> For :first-child to work in IE a DOCTYPE must be declared.</p>
</body>
</html>
ผลลีัพธ์ เฉพาะข้อความใน <p> อันแรกเท่านั้นที่เป็นสีน้ำเงิน<html>
<head>
<style type="text/css">
p:first-child
{
color:blue
}
</style>
</head>
<body>
<p> วันนี้อากาศแจ่มใส </p>
<p> วันนี้อากาศแจ่มใส </p>
<p><b>Note:</b> For :first-child to work in IE a DOCTYPE must be declared.</p>
</body>
</html>
วันนี้อากาศแจ่มใส
วันนี้อากาศแจ่มใส< br /> Match the first <i> element in all <p> elements
ตัวอย่างนี้ซับซ้อนขึ้น โดยจัดรูปแบบการแสดงผลให้ selector <i> ที่พบอันแรก ใน <p> elements ทุกๆ อัน
ตัวอย่าง
<!DOCTYPE HTML PUBLIC "-//W3C//DTD HTML 4.01 Transitional//EN" "http://www.w3.org/TR/html4/loose.dtd">
<html>
<head>
<style type="text/css">
p > i:first-child
{
color:blue
}
</style>
</head>
<body>
<p>วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i> วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i></p>
<p>วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i> วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i></p>
<p><b>Note:</b> For :first-child to work in IE a DOCTYPE must be declared.</p>
</body>
</html>
ผลลัพธ์ <i>แจ่มใส</i> ที่พบตัวแรกใน <p> ทุกอัน จะี่เป็นสีน้ำเงิน<html>
<head>
<style type="text/css">
p > i:first-child
{
color:blue
}
</style>
</head>
<body>
<p>วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i> วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i></p>
<p>วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i> วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i></p>
<p><b>Note:</b> For :first-child to work in IE a DOCTYPE must be declared.</p>
</body>
</html>
วันนี้อากาศแจ่มใส วันนี้อากาศแจ่มใส
วันนี้อากาศแจ่มใส วันนี้อากาศแจ่มใส
วันนี้อากาศแจ่มใส วันนี้อากาศแจ่มใส
Match all <i> elements in all first child <p> elements
ตัวอย่างนี้สลับกับข้างบน โดยจัดรูปแบบการแสดงผลให้ selector <i> ทุกอัน ที่พบใน <p> elements อันแรก
Example
<!DOCTYPE HTML PUBLIC "-//W3C//DTD HTML 4.01 Transitional//EN" "http://www.w3.org/TR/html4/loose.dtd">
<html>
<head>
<style type="text/css">
p:first-child i
{
color:blue
}
</style>
</head>
<body>
<p>วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i> วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i></p>
<p>วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i> วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i></p>
<p><b>Note:</b> For :first-child to work in IE a DOCTYPE must be declared.</p>
</body>
</html>
Output <i>แจ่มใส</i> ทุกอัน ที่พบใน <p> อันแรก จะเป็นสีน้ำเงิน<html>
<head>
<style type="text/css">
p:first-child i
{
color:blue
}
</style>
</head>
<body>
<p>วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i> วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i></p>
<p>วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i> วันนี้อากาศ <i>แจ่มใส</i></p>
<p><b>Note:</b> For :first-child to work in IE a DOCTYPE must be declared.</p>
</body>
</html>
วันนี้อากาศแจ่มใส วันนี้อากาศแจ่มใส
วันนี้อากาศแจ่มใส วันนี้อากาศแจ่มใส
วันนี้อากาศแจ่มใส วันนี้อากาศแจ่มใส
CSS2 - The :lang Pseudo-class
เราสามารถกำหนด special rules สำหรับภาษาต่างๆ ได้ แต่ Pseudo-class *ใช้ไม่ได้กับ web browser IE
Example
<!DOCTYPE HTML PUBLIC "-//W3C//DTD HTML 4.01 Transitional//EN" "http://www.w3.org/TR/html4/loose.dtd">
<html>
<head>
<style type="text/css">
q:lang(no)
{
quotes: "~" "~"
}
</style>
</head>
<body>
<p>Some text <q lang="no">A quote in a paragraph</q>Some text.</p>
</body>
</html>
Output<html>
<head>
<style type="text/css">
q:lang(no)
{
quotes: "~" "~"
}
</style>
</head>
<body>
<p>Some text <q lang="no">A quote in a paragraph</q>Some text.</p>
</body>
</html>
Some text ~A quote in a paragraph~ Some text.
การจัด Layout ด้วย CSS (Div)
แบ่งเป็น 4 แบบ คือ
1. Fixed Layout
จะกำหนดขนาดความกว้าง และตำแหน่งของส่วนต่างๆ เป็น pixel ทำให้กำหนดขนาด และตำแหน่งของส่วนต่างๆ ได้ตามต้องการ ไม่ผิดเพี้ยนไปตามขนาดหน้าจอ และเมื่อย่อขยายหน้าต่างเว็บเบราเซอร์ (IE, Firefox) แล้ว ตำแหน่งของส่วนต่างๆในหน้าเว็บจะยังคงเดิม ถ้าเราย่อขนาดเบราเซอร์ลงจะเกิดเป็น scrollbar เพื่อเลื่อนดูเนื้อหาที่มองไม่เห็น แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถใช้พื้นที่หน้าจอได้อย่างเต็มที่
จะกำหนดขนาดความกว้าง และตำแหน่งของส่วนต่างๆ เป็น pixel ทำให้กำหนดขนาด และตำแหน่งของส่วนต่างๆ ได้ตามต้องการ ไม่ผิดเพี้ยนไปตามขนาดหน้าจอ และเมื่อย่อขยายหน้าต่างเว็บเบราเซอร์ (IE, Firefox) แล้ว ตำแหน่งของส่วนต่างๆในหน้าเว็บจะยังคงเดิม ถ้าเราย่อขนาดเบราเซอร์ลงจะเกิดเป็น scrollbar เพื่อเลื่อนดูเนื้อหาที่มองไม่เห็น แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถใช้พื้นที่หน้าจอได้อย่างเต็มที่
เนื่องจากผู้ใช้แต่ละคนมีการกำหนดความละเอียดของหน้าจอแตกต่างกันไป เช่น 800x600, 1024x780 (มีผู้ใช้มากที่สุด), 1280x800, 1280x960, 1280x1024 pixel
เว็บส่วนใหญ่จะออกแบบเพื่อรองรับความละเอียดหน้าจอที่ 800x600 เป็นหลัก โดยกำหนดความกว้างของเนื้อหาอยู่ที่ 780 pixel และจะจัดวางเนื้อหาอยู่กึ่งกลางหน้าจอ ทำให้ ผู้ใช้งานที่ความละเอียดหน้าจอ 800x600 จะเห็นหน้าเว็บเพจเต็มพอดี ส่วนผู้ที่ใช้ความละเอียดหน้าจอ 1024x780 จะเห็นเนื้อหาอยู่กึ่งกลางหน้าจอ พื้นที่ด้านข้างที่เหลือจะเป็นพื้นหลังที่เป็นสีหรือรูปภาพ
แต่ถ้าเราออกแบบให้ผู้ที่ใช้ความละเอียดหน้าจอ 1024x780 มองเห็นหน้าเว็บเต็มพอดี เมื่อผู้ที่ใช้ความละเอียดหน้าจอ 800x600 ดูหน้าเว็บ หน้าเว็บจะเกินหน้าจอ เกิดเป็น scrollbar แนวนอน ต้องเลื่อนไปทางขวาจึงจะมองเนื้อหาทั้งหมดได้ แต่ปัจจุบัน (2009) ส่วนใหญ่มากกว่า 60% แล้วผู้ใช้จะใช้ความละเอียดหน้าจอที่ 1024x780
2. Liquid Layout
จะกำหนดขนาดความกว้างของส่วนต่างๆ เป็นเปอร์เซ็นต์ เมื่อเราย่อหรือขยายขนาดของเว็บเบราเซอร์ ขนาดของส่วนต่างๆ จะย่อขยายตาม
จะกำหนดขนาดความกว้างของส่วนต่างๆ เป็นเปอร์เซ็นต์ เมื่อเราย่อหรือขยายขนาดของเว็บเบราเซอร์ ขนาดของส่วนต่างๆ จะย่อขยายตาม
ข้อดี คือ ทำให้ได้ใช้พื้นที่ในหน้าจอได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้แสดงผลบนอุปกรณ์อื่นๆ เช่น มือถือ ได้ดี
ข้อเสีย คือ การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ นั้นทำได้ค่อนข้างยาก เพราะขนาดไม่แน่นอน
3. Elastic Layout
จะกำหนดขนาดของส่วนต่าง ๆ เป็น em ทำให้ส่วนต่างๆ ย่อหรือขยาย ตามการกำหนดค่า Text size ของเบราเซอร์
จะกำหนดขนาดของส่วนต่าง ๆ เป็น em ทำให้ส่วนต่างๆ ย่อหรือขยาย ตามการกำหนดค่า Text size ของเบราเซอร์
ข้อดี คือ เมื่อเพิ่มหรือลดขนาดของตัวอักษรแล้ว ยังสามารถคงรูปแบบการจัดวางส่วนต่างๆ ไว้ได้อย่างดี
ข้อเสีย คือ การจัดทำยุ่งยาก
4. Hybrid Layout
เป็นการใช้แบบต่างๆ มาผสมกัน เช่น Sidebar ด้านข้าง ทั้ง 2 ด้านเป็น Elastic Layout ส่วนเนื้อหาเป็น Liquid Layout เป็นต้น
เป็นการใช้แบบต่างๆ มาผสมกัน เช่น Sidebar ด้านข้าง ทั้ง 2 ด้านเป็น Elastic Layout ส่วนเนื้อหาเป็น Liquid Layout เป็นต้น
เมื่อเข้าใจเรื่องการจัดวาง Layout แบบต่างๆ แล้ว ทีนี้มาดูการเขียน code กัน วิธีการไม่ยากแค่เพียงใช้โปรแกรม Dreamweaver เท่านั้น เวลาที่เรา New เอกสารใหม่ขึ้นมา จะมีให้เราเลือกว่าอยากจะได้ Layout แบบไหน จะแบ่งกี่คอลัมน์ ต้องการส่วน Header และ Footer หรือไม่ และเลือกได้ว่าจะให้ส่วน style sheet ฝังอยู่ในหน้าเอกสารนั้นเลย (Add to Head) หรือว่าแยกเป็นอีกไฟล์ต่างหาก (Create New File) หรือจะให้ใส่ style sheet รวมไปในไฟล์ style sheet ที่เรามีอยู่แล้ว (Link to Existing File) ก็ได้
ตัวอย่างFixed Layout
thrColFixHdr.cssbody { font: 100% Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; background: #666666; margin: 0; padding: 0; text-align: center; color: #000000; } /* ส่วน Page Header */ .thrColFixHdr #header { background: #DDDDDD; padding: 0 10px 0 20px; } /* ส่วน Page Body ที่บรรจุเนื้อหา */ .thrColFixHdr #container { width: 780px; background: #FFFFFF; margin: 0 auto; /* the auto margins (in conjunction with a width) center the page */ border: 1px solid #000000; text-align: left; /* this overrides the text-align: center on the body element. */ } /* ส่วน คอลัมน์ด้านซ้าย */ .thrColFixHdr #sidebar1 { float: left; width: 150px; background: #EBEBEB; padding: 15px 10px 15px 20px; } /* ส่วน คอลัมน์ด้านขวา */ .thrColFixHdr #sidebar2 { float: right; width: 160px; background: #EBEBEB; padding: 15px 10px 15px 20px; } /* ส่วนเนื้อหา อยู่ระหว่าง sidebar */ .thrColFixHdr #mainContent { margin: 0 200px; padding: 0 10px; } /* ส่วน Page Footer */ .thrColFixHdr #footer { padding: 0 10px 0 20px; background:#DDDDDD; } .clearfloat { clear:both; }
<!DOCTYPE html PUBLIC "-//W3C//DTD XHTML 1.0 Transitional//EN" "http://www.w3.org/TR/xhtml1/DTD/xhtml1-transitional.dtd">
<html xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml">
<head>
<meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8" />
<title>Untitled Document</title>
<link href="thrColFixHdr.css" rel="stylesheet" type="text/css">
</head>
<body class="thrColFixHdr">
<div id="container">
<div id="header">
<h1>Header</h1>
<!-- end #header --></div>
<div id="sidebar1">
<h3>Sidebar1 Content</h3>
<p>The background color on this div will only show for the length of the content. If you'd like a dividing line instead, place a border on the left side of the #mainContent div if it will always contain more content. </p>
<!-- end #sidebar1 --></div>
<div id="sidebar2">
<h3>Sidebar2 Content</h3>
<p>The background color on this div will only show for the length of the content. If you'd like a dividing line instead, place a border on the right side of the #mainContent div if it will always contain more content. </p>
<!-- end #sidebar2 --></div>
<div id="mainContent">
<h1> การจัด Layout </h1>
<p>ในหน้าเว็บเพจหนึ่งประกอบไปด้วยส่วนหัวเว็บ (Page Header), ส่วนเนื้อหา และการเชื่อมโยง (Page Body), และส่วนท้าย (Page Footer) จัดสรรพื้นที่ของหน้าเว็บเพจเพื่อแสดงส่วนประกอบเหล่านี้ ทำได้หลายรูปแบบ เช่น แบ่งแบบอิสระ แบ่งแบบ 2 คอลัมน์ และ 3 คอลัมน์ </p>
<p> ในการลงมือเขียนเว็บเพจ ปัจจุบันนิยมใช้ Div ในการจัด Layout มี 3 รูปแบบดังนี้</p>
<h2>1. Fixed Layout </h2>
<p>จะกำหนดขนาดความกว้าง และตำแหน่งของส่วนต่างๆ เป็น pixel ทำให้กำหนดขนาด และตำแหน่งของส่วนต่างๆ ได้ตามต้องการ ไม่ผิดเพี้ยนไปตามขนาดหน้าจอ และเมื่อย่อขยายหน้าต่างเว็บเบราเซอร์ (IE, Firefox) แล้ว ตำแหน่งของส่วนต่างๆในหน้าเว็บจะยังคงเดิม </p>
<h2>2. Liquid Layout</h2>
<p>จะกำหนดขนาดความกว้างของส่วนต่างๆ เป็นเปอร์เซ็นต์ เมื่อเราย่อหรือขยายขนาดของเว็บเบราเซอร์ ขนาดของส่วนต่างๆ จะย่อขยายตาม</p>
<h2>3. Elastic Layout</h2>
<p>จะกำหนดขนาดของส่วนต่าง ๆ เป็น em ทำให้ส่วนต่างๆ ย่อหรือขยาย ตามการกำหนดค่า Text size ของเบราเซอร์ เมื่อเพิ่มหรือลดขนาดของตัวอักษรแล้ว ยังสามารถคงรูปแบบการจัดวางส่วนต่างๆ ไว้ได้อย่างดี</p>
<!-- end #mainContent --></div>
<br class="clearfloat" />
<div id="footer">
<p>Footer<br/><br /></p>
<!-- end #footer --></div>
<!-- end #container --></div>
</body>
</html>
<html xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml">
<head>
<meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8" />
<title>Untitled Document</title>
<link href="thrColFixHdr.css" rel="stylesheet" type="text/css">
</head>
<body class="thrColFixHdr">
<div id="container">
<div id="header">
<h1>Header</h1>
<!-- end #header --></div>
<div id="sidebar1">
<h3>Sidebar1 Content</h3>
<p>The background color on this div will only show for the length of the content. If you'd like a dividing line instead, place a border on the left side of the #mainContent div if it will always contain more content. </p>
<!-- end #sidebar1 --></div>
<div id="sidebar2">
<h3>Sidebar2 Content</h3>
<p>The background color on this div will only show for the length of the content. If you'd like a dividing line instead, place a border on the right side of the #mainContent div if it will always contain more content. </p>
<!-- end #sidebar2 --></div>
<div id="mainContent">
<h1> การจัด Layout </h1>
<p>ในหน้าเว็บเพจหนึ่งประกอบไปด้วยส่วนหัวเว็บ (Page Header), ส่วนเนื้อหา และการเชื่อมโยง (Page Body), และส่วนท้าย (Page Footer) จัดสรรพื้นที่ของหน้าเว็บเพจเพื่อแสดงส่วนประกอบเหล่านี้ ทำได้หลายรูปแบบ เช่น แบ่งแบบอิสระ แบ่งแบบ 2 คอลัมน์ และ 3 คอลัมน์ </p>
<p> ในการลงมือเขียนเว็บเพจ ปัจจุบันนิยมใช้ Div ในการจัด Layout มี 3 รูปแบบดังนี้</p>
<h2>1. Fixed Layout </h2>
<p>จะกำหนดขนาดความกว้าง และตำแหน่งของส่วนต่างๆ เป็น pixel ทำให้กำหนดขนาด และตำแหน่งของส่วนต่างๆ ได้ตามต้องการ ไม่ผิดเพี้ยนไปตามขนาดหน้าจอ และเมื่อย่อขยายหน้าต่างเว็บเบราเซอร์ (IE, Firefox) แล้ว ตำแหน่งของส่วนต่างๆในหน้าเว็บจะยังคงเดิม </p>
<h2>2. Liquid Layout</h2>
<p>จะกำหนดขนาดความกว้างของส่วนต่างๆ เป็นเปอร์เซ็นต์ เมื่อเราย่อหรือขยายขนาดของเว็บเบราเซอร์ ขนาดของส่วนต่างๆ จะย่อขยายตาม</p>
<h2>3. Elastic Layout</h2>
<p>จะกำหนดขนาดของส่วนต่าง ๆ เป็น em ทำให้ส่วนต่างๆ ย่อหรือขยาย ตามการกำหนดค่า Text size ของเบราเซอร์ เมื่อเพิ่มหรือลดขนาดของตัวอักษรแล้ว ยังสามารถคงรูปแบบการจัดวางส่วนต่างๆ ไว้ได้อย่างดี</p>
<!-- end #mainContent --></div>
<br class="clearfloat" />
<div id="footer">
<p>Footer<br/><br /></p>
<!-- end #footer --></div>
<!-- end #container --></div>
</body>
</html>
แบบ Fixed Layout นี้ สังเกตได้ว่า เวลาย่อขยายหน้าต่างเบราเซอร์จะไม่มีผลต่อการจัดวางส่วนประกอบต่างๆ แต่จะเกิดเป็น scroll bar แทน
ส่วนการจัด Layout แบบอื่นๆ ลองดูจากไฟล์เหล่านี้ หรือลองเล่นดูในโปรแกรม Dreamweaver ได้ค่ะ
Layout
ในหน้าเว็บเพจหนึ่งประกอบไปด้วยส่วนหัวเว็บ (Page Header), ส่วนเนื้อหา และการเชื่อมโยง (Page Body), และส่วนท้าย (Page Footer) การจัดสรรพื้นที่ของหน้าเว็บเพจเพื่อแสดงส่วนประกอบเหล่านี้ ทำได้หลายรูปแบบ เช่น แบ่งแบบอิสระ แบ่งแบบ 2 คอลัมน์ และ 3 คอลัมน์ ตามที่ได้พูดถึงในเรื่องการออกแบบเว็บไซต์ (ถ้าจำไม่ได้คลิกที่นี่เพื่ออ่าน)
ในการลงมือเขียนเว็บเพจจริง การจัดรูปหน้าเว็บ (Layout) สามารถใช้ Table หรือ ใช้ Div ในการจัดวางส่วนประกอบของหน้าเว็บ
แต่การใช้ <table> ในการวาง Layout หน้าเว็บเพจ ออกจะผิดวัตถุประสงค์ในการใช้งานของ <table> อยู่บ้าง เนื่องจากที่จริง <table> นั้นใช้ในการแสดงข้อมูลในรูปตาราง
ปัจจุบันเว็บไซต์ต่างๆ เปลี่ยนจากการใช้ Table จัดวาง Layout ให้หน้าเ็ว็บเพจ มาเป็นแบบ Tableless โดยใช้ <div> และใช้ CSS ในการจัดตำแหน่ง ขนาด และสี ให้กับ tag <div> แทน เพราะมีข้อดีกว่าการใช้ Table
การใช้ Table จะต้องรอให้โหลดข้อมูลภายใน Table ทั้งหมดก่อน แล้วจึงแสดงผลข้อมูลทั้งหมดออกมาในคราวเดียว ทำให้ต้องรอนาน ไม่เหมือนกับการใช้ Div ที่เมื่อโหลดเสร็จส่วนไหนก่อน ก็แสดงผลส่วนนั้นออกมาเลย
การใช้ Div ยัง ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลง CSS ได้ง่ายกว่า และไม่เยิ่นเย้อเหมือน Table
นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลให้กับคนพิการทางสายตา ซึ่งจะอาศัยโปรแกรม Screen Readers อ่านเนื้อหาในเว็บให้ฟัง การใช้ Table ซ้อน Table อาจทำให้ Screen Readers อ่านข้อความผิดพลาดได้ แต่หากใช้ CSS เป็นตัวกำหนดรูปแบบ และ กำหนดเนื้อหาตัวหนังสือใน HTML เมื่อถอดตัว CSS ออกจาก HTML เอกสารก็จะแสดงผลไม่ต่างกับ Microsoft Word ที่อ่านง่ายขึ้น และถูกต้องยิ่งขึ้น
ปัจจุบันเว็บไซต์ต่างๆ เปลี่ยนจากการใช้ Table จัดวาง Layout ให้หน้าเ็ว็บเพจ มาเป็นแบบ Tableless โดยใช้ <div> และใช้ CSS ในการจัดตำแหน่ง ขนาด และสี ให้กับ tag <div> แทน เพราะมีข้อดีกว่าการใช้ Table
การใช้ Table จะต้องรอให้โหลดข้อมูลภายใน Table ทั้งหมดก่อน แล้วจึงแสดงผลข้อมูลทั้งหมดออกมาในคราวเดียว ทำให้ต้องรอนาน ไม่เหมือนกับการใช้ Div ที่เมื่อโหลดเสร็จส่วนไหนก่อน ก็แสดงผลส่วนนั้นออกมาเลย
การใช้ Div ยัง ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลง CSS ได้ง่ายกว่า และไม่เยิ่นเย้อเหมือน Table
นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลให้กับคนพิการทางสายตา ซึ่งจะอาศัยโปรแกรม Screen Readers อ่านเนื้อหาในเว็บให้ฟัง การใช้ Table ซ้อน Table อาจทำให้ Screen Readers อ่านข้อความผิดพลาดได้ แต่หากใช้ CSS เป็นตัวกำหนดรูปแบบ และ กำหนดเนื้อหาตัวหนังสือใน HTML เมื่อถอดตัว CSS ออกจาก HTML เอกสารก็จะแสดงผลไม่ต่างกับ Microsoft Word ที่อ่านง่ายขึ้น และถูกต้องยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการจัด Layout Page ด้วย Table แบบแบ่งเป็น 2 คอลัมน์
<table style="width:100%">
<tr>
<td colspan="2" style="background-color:#09f; color:#fff">
<h1>Web builder Tutorials</h1>
</td>
</tr>
<tr valign="top">
<td style="background-color:#93C9FF; width:20%;text-align:top; ">
<b>Main Menu</b><br />
HTML<br />
CSS<br />
XHTML<br />
JavaScript
</td>
<td style="height:200px; text-align:top;">
แนะนำการสร้างเว็บไซต์ ตั้งแต่พื้นฐาน สอนเขียนเว็บเพจด้วย HTML, จัดตกแต่งรูปแบบการแสดงผลด้วย CSS และก้าวสู่การสร้างเว็บไซต์แบบมาตรฐานด้วย XHTML สุดท้ายเพิ่มลูกเล่นให้เว็บไซต์ของเราด้วย JavaScript
</td>
</tr>
<tr>
<td colspan="2" style="background-color:#09f; text-align:center; color:#fff">
Copyright © 2009 enjoyday.net
</td>
</tr>
</table>
ผลลัพธ์<tr>
<td colspan="2" style="background-color:#09f; color:#fff">
<h1>Web builder Tutorials</h1>
</td>
</tr>
<tr valign="top">
<td style="background-color:#93C9FF; width:20%;text-align:top; ">
<b>Main Menu</b><br />
HTML<br />
CSS<br />
XHTML<br />
JavaScript
</td>
<td style="height:200px; text-align:top;">
แนะนำการสร้างเว็บไซต์ ตั้งแต่พื้นฐาน สอนเขียนเว็บเพจด้วย HTML, จัดตกแต่งรูปแบบการแสดงผลด้วย CSS และก้าวสู่การสร้างเว็บไซต์แบบมาตรฐานด้วย XHTML สุดท้ายเพิ่มลูกเล่นให้เว็บไซต์ของเราด้วย JavaScript
</td>
</tr>
<tr>
<td colspan="2" style="background-color:#09f; text-align:center; color:#fff">
Copyright © 2009 enjoyday.net
</td>
</tr>
</table>
Web builder Tutorials | |
Main Menu HTML CSS XHTML JavaScript | แนะนำการสร้างเว็บไซต์ ตั้งแต่พื้นฐาน สอนเขียนเว็บเพจด้วย HTML, จัดตกแต่งรูปแบบการแสดงผลด้วย CSS และก้าวสู่การสร้างเว็บไซต์แบบมาตรฐานด้วย XHTML สุดท้ายเพิ่มลูกเล่นให้เว็บไซต์ของเราด้วย JavaScript |
Copyright © 2009 enjoyday.net |
<table style="width:100%">
<tr>
<td colspan="3" style="background-color:#09f; color:#fff">
<h1>Web builder Tutorials</h1>
</td>
</tr>
<tr valign="top">
<td style="background-color:#93C9FF; width:20%;text-align:top; ">
<b>Main Menu</b><br />
HTML<br />
CSS<br />
XHTML<br />
JavaScript
</td>
<td style="height:200px; text-align:top;">แนะนำการสร้างเว็บไซต์ ตั้งแต่พื้นฐาน สอนเขียนเว็บเพจด้วย HTML, จัดตกแต่งรูปแบบการแสดงผลด้วย CSS และก้าวสู่การสร้างเว็บไซต์แบบมาตรฐานด้วย XHTML สุดท้ายเพิ่มลูกเล่นให้เว็บไซต์ของเราด้วย JavaScript
</td>
<td style="background-color:#ffc; width:20%;text-align:top; ">
<b>Advertisment</b>
</td>
</tr>
<tr>
<td colspan="3" style="background-color:#09f; text-align:center; color:#fff">
Copyright © 2009 enjoyday.net
</td>
</tr>
</table>
ผลลัพธ์<tr>
<td colspan="3" style="background-color:#09f; color:#fff">
<h1>Web builder Tutorials</h1>
</td>
</tr>
<tr valign="top">
<td style="background-color:#93C9FF; width:20%;text-align:top; ">
<b>Main Menu</b><br />
HTML<br />
CSS<br />
XHTML<br />
JavaScript
</td>
<td style="height:200px; text-align:top;">แนะนำการสร้างเว็บไซต์ ตั้งแต่พื้นฐาน สอนเขียนเว็บเพจด้วย HTML, จัดตกแต่งรูปแบบการแสดงผลด้วย CSS และก้าวสู่การสร้างเว็บไซต์แบบมาตรฐานด้วย XHTML สุดท้ายเพิ่มลูกเล่นให้เว็บไซต์ของเราด้วย JavaScript
</td>
<td style="background-color:#ffc; width:20%;text-align:top; ">
<b>Advertisment</b>
</td>
</tr>
<tr>
<td colspan="3" style="background-color:#09f; text-align:center; color:#fff">
Copyright © 2009 enjoyday.net
</td>
</tr>
</table>
Web builder Tutorials | ||
Main Menu HTML CSS XHTML JavaScript | แนะนำการสร้างเว็บไซต์ ตั้งแต่พื้นฐาน สอนเขียนเว็บเพจด้วย HTML, จัดตกแต่งรูปแบบการแสดงผลด้วย CSS และก้าวสู่การสร้างเว็บไซต์แบบมาตรฐานด้วย XHTML สุดท้ายเพิ่มลูกเล่นให้เว็บไซต์ของเราด้วย JavaScript | Advertisment |
Copyright © 2009 enjoyday.net |
Media Types
ในการกำหนดการแสดงผลหน้าตาเว็บเพจ บนสื่อประเภทต่างๆ เราสามารถกำหนด style ให้แตกต่างกันได้ เช่น ตอนที่เราเห็นบนหน้าจอ (screen) กับตอนที่สั่งพิมพ์ออกกระดาษ (print) ให้แสดงผลไม่เหมือนกัน
แล้วประเภทของสื่อมีอะไรบ้าง ...
แล้วประเภทของสื่อมีอะไรบ้าง ...
Media Type
- all - ใช้ในอุปกรณ์ทุกชนิด
- aural - แสดงผลออกทางระบบช่วยอ่านออกเสียง
- braille - แสดงผลออกทางเครื่องช่วยอ่านสำหรับคนตาบอด
- embossed - แสดงผลออกทางเครื่องพิมพ์สำหรับคนตาบอด
- handheld - แสดงผลออกทางจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดพกพา (handheld) ซึ่งมีขนาดเล็ก ไม่สามารถแสดงสีได้ (monochrome) และมีประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่ำ
- print - แสดงผลออกทางเครื่องพิมพ์
- projection - แสดงผลออกทางจอภาพที่มีความต่างสี(contrast) และความสว่าง(brightness) ต่ำ เช่น จอภาพ LCD, การแสดงผลผ่านเครื่อง projector
- screen - แสดงผลออกทางจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์
- tty - แสดงผลออกทางเทอร์มินัลชนิดตัวอักษรเท่านั้น เช่น โปรแกรม Lynx, เครื่องโทรพิมพ์
- tv - แสดงผลออกทางจอภาพของเครื่องโทรทัศน์
มาดูตัวอย่างการใช้งานกันค่ะ ให้ตอนที่เราเห็นเว็บเพจบนหน้าจอ ตัวอักษรมีขนาด 12px แต่ตอนที่เราสั่งพิมพ์ให้มีขนาด 50px และมีเส้นขีดคร่าตรงกลาง โดยทั้งตอนที่เห็นบนหน้าจอและเมื่อสั่งพิมพ์ให้เป็นตัวหนา่ทั้งคู่ เขียน style sheet กำหนดได้ดังนี้
ตัวอย่าง<html> <head> <style> @media screen { p.special {font-family:Verdana,sans-serif; font-size:12px} } @media print { p.special {font-family:Arial, Helvetica; font-size:50px; text-decoration:line-through} } @media screen,print { p.special {font-weight:bold} } </style> </head> <body> <p class="special">Enjoyday.net</p> </body> </html>
Enjoyday.net
ตัวอย่าง
<html>
<head>
<style type="text/css">
@media print
{
.noprint {visibility:hidden;}
}
</style>
</head>
<body>
<p>ข้อความตรงนี้พิมพ์ออกมาตามปกติ</p>
<p class="noprint">ข้อความตรงนี้ไม่ต้องพิมพ์ออกมา</p>
</body>
</html>
<head>
<style type="text/css">
@media print
{
.noprint {visibility:hidden;}
}
</style>
</head>
<body>
<p>ข้อความตรงนี้พิมพ์ออกมาตามปกติ</p>
<p class="noprint">ข้อความตรงนี้ไม่ต้องพิมพ์ออกมา</p>
</body>
</html>
เราสามารถ copy คำสั่ง style sheet แล้วบันทึกเป็นไฟล์ .css จากนั้นจึงเรียกใช้จากภายนอกก็ำได้ (External Style Sheet)
file print.css
.noprint {visibility:hidden;}
file testnoprint.html
<html>
<head>
<link rel="stylesheet" type="text/css" href="css/print.css" media="print" />
</head>
<body>
<p>ข้อความตรงนี้พิมพ์ออกมาตามปกติ</p>
<p class="noprint">ข้อความตรงนี้ไม่ต้องพิมพ์ออกมา</p>
</body>
</html>
ผลลัพธ์ลองเลือกเมนู File > Print Preview ... ดูว่า ข้อความข่างล่างนี้หายไปหรือไม่.noprint {visibility:hidden;}
file testnoprint.html
<html>
<head>
<link rel="stylesheet" type="text/css" href="css/print.css" media="print" />
</head>
<body>
<p>ข้อความตรงนี้พิมพ์ออกมาตามปกติ</p>
<p class="noprint">ข้อความตรงนี้ไม่ต้องพิมพ์ออกมา</p>
</body>
</html>
ข้อความตรงนี้พิมพ์ออกมาตามปกติ
ข้อความตรงนี้ไม่ต้องพิมพ์ออกมา
Mouse cursor
การกำหนด style ใ้ห้กับ Mouse cursor หากคุณใช้ browser Firefox ลักษณะของ Cursor ที่เห็นจะไม่เหมือนกับของ IE
การกำหนด style ใ้ห้กับ Mouse cursor หากคุณใช้ browser Firefox ลักษณะของ Cursor ที่เห็นจะไม่เหมือนกับของ IE (ลองเอาเมาส์เลื่อนที่ค่า value ต่างๆ ดูค่ะ)
ตัวอย่าง
การกำหนด style ใ้ห้กับ Mouse cursor หากคุณใช้ browser Firefox ลักษณะของ Cursor ที่เห็นจะไม่เหมือนกับของ IE (ลองเอาเมาส์เลื่อนที่ค่า value ต่างๆ ดูค่ะ)
Property | Value | Cursor | IE | FF |
cursor | default | 4+ | 2+ | |
crosshair | 4+ | 2+ | ||
hand | 4+ | |||
pointer | 4+ | 2+ | ||
move | 4+ | 2+ | ||
text | 4+ | 2+ | ||
wait | 4+ | 2+ | ||
help | 4+ | 2+ | ||
n-resize | 4+ | 2+ | ||
ne-resize | 4+ | 2+ | ||
e-resize | 4+ | 2+ | ||
se-resize | 4+ | 2+ | ||
s-resize | 4+ | 2+ | ||
sw-resize | 4+ | 2+ | ||
w-resize | 4+ | 2+ | ||
nw-resize | 4+ | 2+ | ||
progress | 6+ | 2+ | ||
not-allowed | 6+ | 2+ | ||
no-drop | 6+ | 2+ | ||
vertical-text | 6+ | 2+ | ||
all-scroll | 6+ | 2+ | ||
col-resize | 6+ | 2+ | ||
row-resize | 6+ | 2+ | ||
url(yourcursor.cur) | 6+ | 2+ |
ตัวอย่าง
<a href="" style="cursor:help">Help</a><br />
<a href="" style="cursor:url(images/cur002.cur)">My kitty cursor (สำหรับ IE) </a><br />
<a href="" style="cursor:url('images/cur002.cur'),auto">My kitty cursor (สำหรับ Firefox, IE ก็ยังใช้ได้)</a>
ผลลัพธ์ลองเอาเมาส์เลื่อนที่ข้อความด้านล่างดูค่ะ
<a href="" style="cursor:url(images/cur002.cur)">My kitty cursor (สำหรับ IE) </a><br />
<a href="" style="cursor:url('images/cur002.cur'),auto">My kitty cursor (สำหรับ Firefox, IE ก็ยังใช้ได้)</a>
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)